Entry ที่แล้วพูดถึงหนังสือ “TQM ถ้าไม่ใหญ่จริงอย่าแหยม” ทำดัดจริตให้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “TQM : Only leader can make it happen and maintain” ก็เลยต้องอธิบายความหมายของคำว่า Leader (ผู้นำ) กันหน่อย
ว่ากันโดยหน้าที่ Leader รับผิดชอบในการเลือก หรือ กำหนดให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง (To do the right thing) ก่อนที่ผู้ตามจะนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง (To do the thing right) เช่น ผู้นำกำหนดว่าจะทำธุรกิจใด (The right business) ผู้ตามทำธุรกิจนั้นให้ได้กำไร (The right result) หรือ กรณีน้ำเหนือจำนวนมากไหลบ่าสู่ภาคกลาง ผู้นำเป็นผู้กำหนดว่าจะปล่อยให้ท่วมอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ หรือ เลือกที่จะรักษาส่วนหนึ่งส่วนใดไว้ (The right choice) ผู้ตามมีภารกิจทำให้เป็นไปดังที่ผู้นำกำหนด (The right result) เป็นต้น
ผู้นำจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีต้องมี “ความเป็นผู้นำ” (Leadership) ซึ่งแปลอย่างกำปั้นทุบดินว่า “ความสามารถในการสร้างผู้ตาม” อันเป็นความสามารถที่ทำให้พวกเขาคิด พูด หรือ ทำอะไรแล้วมีคนเอาไปเป็นตัวอย่าง หรือ ปฏิบัติตาม (คนที่คิด พูด หรือ ทำอะไรแล้วไม่มีคนตาม มิอาจเรียกตัวเองว่าผู้นำได้)
หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าผู้นำต้องได้รับความไว้วางใจ (Trust) ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติต่อไปนี้
(1) ความคิดริเริ่ม คนจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำต้องริเริ่มทำโน่นทำนี่ก่อนคนอื่นเสมอ มิฉะนั้นจะเป็นได้เพียงผู้ตาม มีสำนวนอังกฤษว่า “If you don’t like to eat dust you have to make it” (เหมือนขับรถบนถนนดิน ถ้าไม่อยากกินฝุ่นก็ต้องขับนำหน้า)
(2) ความมั่นคง ผู้นำต้องมั่นคงทางความคิด คือยืนหยัดในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้อง มั่นคงทางการพูด และ การกระทำ ไม่กลับไปกลับมา ไม่โลเลโอนเอนเป็นไม้หลักปักเลน มั่นคงทางอารมณ์ คือสงบนิ่ง ไม่วูบวาบหวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ
(3) ความกล้าหาญ ผู้นำต้องมีความกล้าหลายประการได้แก่ กล้าเผชิญปัญหา และ อุปสรรค กล้าแสดงความคิดเห็น ตำหนิติเตียน หรือ ชื่นชม กล้ายอมรับความผิดพลาด กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ กล้าสร้างความเปลี่ยนแปลง
คุณสมบัติทั้งสามประการดังกล่าวมีความรู้ (เก่ง) เจ็ดประการเป็นพื้นฐาน ประกอบด้วยรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้คน และ รู้ชุมชน (สัปปุริสธรรม) ย่อเป็นสองประการคือ “รู้งาน” (เหตุ ผล ประมาณ กาล) กับ “รู้คน” (ตน คน ชุมชน)
นอกจากความรู้ หรือ ความเก่งที่ทำให้เกิดความคิดริเริ่ม ความมั่นคง และ ความกล้าหาญแล้ว ผู้นำจำเป็นต้องมี “ธัมมะ” (ดี) สำหรับผู้เป็นใหญ่อันได้แก่ “พรหมวิหาร” ด้วย ธัมมะนี้มีสี่ประการคือเมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา
เมตตาหมายถึงปรารถนาจะเห็นคนอื่นมีความสุข แต่ปรารถนาอย่างเดียวไม่พอต้องลงมือทำด้วยเรียกว่ามีกรุณา และ การชื่นชมยินดีเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขเรียกว่ามีมุทิตา ธัมมะสองข้อแรกเป็นอุบายให้ลดการเห็นแก่ตัว ข้อสามเป็นอุบายให้ลดการอิจฉาริษยา ธัมมะสามประการนี้เปรียบเป็น “พระคุณ” ทำให้คน “รัก” แต่อาจเป็นประเภทลิงหลอกเจ้าได้ถ้าไม่มีธัมมะอีกหนึ่งข้อคืออุเบกขา (การวางเฉย) คอยกำกับ
อุเบกขาเป็นการวางเฉยต่อสิ่งกระทบ หรือ สิ่งเร้าจากภายนอก ทำให้ครองตนอยู่ในศีลในธรรมได้ รวมถึงการไม่ใช้พระคุณในทางผิด เช่น ไม่ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของโจร เป็นต้น อุเบกขาจึงเปรียบเสมือน “พระเดช” ทำให้คน “ยำเกรง”
พรหมวิหารทำให้คนทั้งรักทั้งยำเกรง จึงจัดเป็นธัมมะของผู้เป็นใหญ่ เมื่อรวมกับความรู้พื้นฐาน (เก่งคน เก่งงาน) ที่ทำให้มีความคิดริเริ่ม ความมั่นคง และ ความกล้าหาญแล้ว จะกลายเป็นสมรรถนะ หรือ Competency ที่ผู้ปรารถนาเป็นผู้นำพึงแสวงหาใส่ตัว